วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

อัลเซเซียน

เยอรมัน เชพเพอร์ด หรือ อัลเซเชี่ยน (Geman Shepherd)



เยอรมัน เชพเพอร์ด หรือ อัลเซเชี่ยน (Geman Shepherd)
มีทั้งพันธุ์ขนสั้นและพันธุ์ขนยาว
ความสูง/น้ำหนัก เพศผู้สูง 24 ถึง 26 นิ้ว น้ำหนัก 65 ถึง 85 ปอนด์ เพศเมียสูง 22 ถึง 24 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 70 ปอนด์ 
สี สีดำด้าน สีเทา สีแทน สีแทนแดง สีน้ำตาล ซึ่งปกติจะมีแต้มหรือด่างสีน้ำตาล สีแทนหรือไม่ก็สีเทา แต่สุนัขอัลเซเชี่ยนส่วนมากที่นิยมเลี้ยงกันทั่วโลกจะเป็นสีน้ำตาลแดงหรือสีชาปนแต้มดำ
เหมาะสำหรับ สุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนเป็นสุนัขเหมาะสำหรับให้บริการแก่ปวงชนแทบทุกประเภทของบริการที่จำเป็น อย่างเช่น เหมาะสำหรับเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน สุนัขจู่โจม สุนัขค้นหาวัตถุระเบิด หรือค้นหายาเสพติด สุนัขช่วยชีวิต และสุนัขนำทางคนพิการทางสายตา สุนัขพันธุ์ อัลเซเชี่ยนนี้เหมาะที่สุดสำหรับตำรวจ ยามรักษาการณ์ และคนที่อยากจะทุ่มเทเวลาเพื่อฝึกสุนัขและทำงานร่วมกับสุนัข
ไม่เหมาะสำหรับ คนที่ชอบอยู่เงียบ ๆ ชอบมีชีวิตสันโดษเหนือสิ่งอื่นใด หรือคนชราไม่เหมาะสำหรับสุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยน และสุนัขพันธุ์นี้ก็ไม่เหมาะสำหรับคนฝึกสุนัขมือใหม่
สิ่งจำเป็น สุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนเหมาะสำหรับเลี้ยงอยู่ในบ้านที่มีบริเวณ มีสวนหน้าบ้านหรือหลังบ้าน หรือตามอพาร์ทเมนท์ใหญ่ ๆ ควรมีที่ให้สุนัขพันธุ์นี้ได้วิ่งออกกำลังกายทุกวัน อัลเซเชี่ยนจำเป็นต้องมีเจ้านายที่คอยควบคุมดูแลอยู่เสมอ เพื่อจะได้ช่วยฝึกให้สุนัขยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างเต็มใจ สุนัขอัลเซเชี่ยนจำเป็นต้องมีอะไร ๆ ทำอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานหรือสิ่งท้าทาย เพราะอัลเซเชี่ยนกระหายที่จะพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา สุนัขดีจากเยอรมันสายพันธุ์แท้นี้ ควรจะได้รับการฝึกอย่างถูกวิธี อย่างระมัดระวัง และฝึกอยู่เป็นประจำโดยผู้เชี่ยวชาญ สุนัขพันธุ์นี้ต้องการการออกกำลังกายอย่างมากและสม่ำเสมอทุกวันหากเป็นไปได้ และเวลาที่ต้องมาคอยดูแลตบแต่งเสริมสวยก็ไม่จำเป็นมากนัก ยกเว้นขนยาวที่พันกันเป็นกระจุกหรือไม่เป็นระเบียบดูไม่สวยงาม ควรจะได้รับการแปรงหรือหวีขนอยู่เป็นประจำ 
จุดเด่น สุนัขที่มีผู้นิยมเลี้ยงดูมากที่สุดพันธุ์หนึ่งนี้ เป็นสุนัขที่กล้าหาญ เฉลียวฉลาด เต็มใจทำงาน เชื่อง และเรียนรู้เร็ว ชอบที่จะยืนอยู่เคียงข้างเจ้านายด้วยความซื่อสัตย์และไว้ใจได้ในทุกสถานการณ์เป็นสุนัขที่ยอมรับทุกคนในครอบครัว เชื่องกับทุกคน และรักเด็ก
ข้อเสีย หากไม่ได้รับการฝึกอย่างเพียงพอ สุนัขพันธุ์นี้ก็อาจจะวางใจไม่ได้ทีเดียวนัก และมันอาจจะเพาะนิสัยก้าวร้าว ชอบกัดกับสุนัขตัวอื่น ๆ ความอดทนที่มีต่อสัตว์อื่น ๆ และนิสัยดีที่มีต่อคนจะค่อย ๆ สูญหายไป และมันอาจจะกลายเป็นสุนัขที่ยากจะเดาใจและก้าวร้าวได้ 
ช่วงชีวิต อัลเซเชี่ยนโดยเฉลี่ยจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 15 ปี
พิจารณาก่อนซื้อ ก่อนที่เราจะซื้อลูกสุนัขอัลเซเชี่ยนมาเลี้ยงให้ระวังพิจารณาให้ดีถึงสายพันธุ์หรือพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ของสุนัขด้วย ให้ระวังหรือให้พึงสังเกตถึงลักษณะเสื่อมของสุนัข อันเกิดจากการเพาะพันธุ์ที่ไม่ถูกต้อง สุนัขที่มีลักษณะเสื่อมเหล่านี้จะเล่นงานลูกสุนัขที่ป้องกันตัวเองไม่ได้ ซึ่งจะตรงข้ามกับนิสัยในสายเลือดโดยแท้ของสุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนที่ไม่ชอบรังแกสุนัขตัวอื่นและเมื่อสุนัขโตขึ้น หากมีลักษณะเสื่อมมันจะเป็นอันตรายต่อคน ให้พึงระวังไว้ให้ดี

สุนัขพันธุ์บางแก้ว

ประวัติและความเป็นมาของ   สุนัขบางแก้ว
สุนัขไทยพันธุ์เดียวในประเทศไทยที่มีขนยาวสองชั้นหางเป็นพวง มีขน ขาหน้าคล้ายขนขาแข้งสิงห์   แผงรอบคอคล้ายสิงโตมีความเฉลียว ฉลาด ไอคิวสูง ประวัติความเป็นมา ของ สุนัขไทยพันธุ์ บางแก้ว
 จากข้อมูล ที่ได้สอบถามจากประชาชนตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านบางแก้วต.บางแก้ว บ้านชุมแสสงคราม ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก พอจะสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดของ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วนั้นอยู่ที่ วัดบางแก้ว ต.บางแก้ว อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็น ป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย ของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่นช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมู่ป่า ไก่ป่า สุนัขจิ้งจอก และหมาไน
เหตุผล  ที่สันนิษฐานว่า สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วเป็นสุนัขลูกผสมสามสายเลือด พื้นที่ในเขต ต.บางแก้ว ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ ในอดีตนั้นเป็นป่าดงพงพีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิดรวม ทั้งสุนัขจิ้งจอก  และหมาไนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่สุนัขจิ้กจอกและหมาไนตัวผู้จะมาแอบลักลอบเข้ามาผสมพันธุ์กับสุนัขไทยตัวเมีย  ที่เลี้ยงไว้ในวัดบางแก้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียวเพราะสุนัขป่าทั้งหลายนี้เป็นสุนัขที่กล้าหาญชาญชัย ว่องไว ใจปราดเปรียว แข็งแรง เมื่อมีการผสมข้ามพันธุ์กันตามธรรมชาติหรือ   เรียกง่ายๆว่าธรรมชาติเป็นผู้ผสม และคัดเลือกพันธุ์ในที่สุดก็ได้สุนัข ไทยพันธุ์บางแก้ว ซึ่งมีลักษณะดีเด่นปรากฎโฉมออกมาคือ มีขนยาว ขนมีลักษณะเป็นขนสองชั้นคล้ายอานม้า หางเป็นพวงสวยงาม มีขนแผงคอคล้ายแผงคอสิงห์โต ดุ เฉลียวฉลาด มีไอคิวสูง ไม่แพ้สุนัขพันธุ์ต่างประเทศ
หลวงพ่อมาก เมธาวี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดบางแก้ว ที่วัดของท่านเลี้ยง สุนัขไว้ไม่ต่ำกว่า  20-30 ตัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัขที่ดุขึ้นชื่อลือชา และชาวบ้านทราบกันดีว่า ใครที่เข้ามาในวัด หรือมีธุระปะปังผ่านไปผ่านมาที่วัดแต่ละครั้งจะต้องตะโกนให้เสียงแต่ไกล ๆ เพื่อให้พระอาจารย์มาก เมธาวี
ท่านช่วยดูหมาเอาไว้ก่อน มิฉะนั้นจะถูกมันไล่กัดเอากระจุย กระเจิงแน่นอน ด้วยกิติศักดิ์ในความดุของ สุนัขที่วัดบางแก้วนี้เองจึงมีผู้คนนิยมมาขอลูกสุนัขไปเลี้ยงไว้ เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เฝ้าเรือ เฝ้าแพ เฝ้าวัว เฝ้าควาย พื้นที่ ๆ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วได้ขยายพันธุ์ไปมากที่สุดก็คือ ต.บางแก้ว ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไป หลายจังหวัดแล้ว
เนื่องด้วยบริเวณวัดบางแก้วในสมัยนั้นมีลักษณะรอบ ๆ  เป็นป่า มีสัตว์ป่าอาศัยค่อยข้างชุกชุม    จนกระทั้งสุนัขตัว  นั้นได้คลอดลูกออกมา  ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากสุนัขอื่นๆ  ที่มีอยู่ในวัดทั่วไป  คือมีขนยาวฟู  คล้ายสุนัขต่างประเทศ  มีลักษณะสวยงาม  โดดเด่นน่าเลี้ยง  และมีความดุ  จากนั้นสุนัขแบบนี้ก็มีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ในวัดบางแก้ว  จนประชาชนที่ไปวัด  นั้นเห็นถึงความสวยงาม  ฉลาด  หวงของ  และดุ  มีความซื่อสัตย์ และภักดีต่อผู้เป็นเจ้าของ  จึงขอสุนัขจากท่านหลวงปู่มากมาเลี้ยง   เพื่อใช้ในการเฝ้าบ้าน  เฝ้าแพ  หรือแม้กระทั้งเฝ้าท้องไร่      ท้องนา  เพราะความหวงของและซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนาย
 
สุนัขชนิดนี้จึงแพร่ขยายออกไปทั่วหมู่บ้าน  และด้วยเหตุปัจจัยที่หมู่บ้านบางแก้วนั้นมีภูมิประเทศเป็นเกาะในช่วงฤดูน้ำหลากโดยมีแม่น้ำล้อมรอบ  และประจวบกับในช่วงดังกล่าวก็เป็นช่วงที่สุนัขนั้นเป็นสัดพอดี  สุนัขนั้นไปสามารถออกไปผสมกับสุนัขในถิ่นอื่นได้  จึงเกิดการผสมพันธุ์กันเองภายในเครือญาติเดียวกันหลายต่อหลายช่วงอายุ  จนเกิดเป็นสุนัขที่มีลักษณะที่มีลักษณะเฉพาะ  มีลักษณะต่างๆชัดเจนแตกต่างจากสุนัข พื้นบ้านโดยทั่วไป 
              
จากนั้นเมื่อมีผู้เข้าไปพบเห็น  เกิดการชื่นชอบจึงนำออกมาเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในเมืองพิษณุโลก  และเรียกสุนัขดังกล่าวว่า “สุนัขบางแก้ว” ตามถิ่นกำเนิดของสุนัขนั้น    เมื่อเกิดความนิยมของคนเลี้ยงทั่วไปในเมืองพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง    จึงมีการรวมกลุ่มกันขึ้นของผู้ที่เลี้ยงสุนัขบางแก้ว  ผู้ที่ชื่นชอบ  และหน่วยงานของรัฐ  เพื่อจะพัฒนาสุนัขบางแก้วให้มีมาตรฐาน  จากนั้นราวปี พ.ศ. 2500  จึงมีการกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ของสุนัขบางแก้วขึ้นมาเป็นครั้งแรก  และมีการคัดเลือกพ่อพันธุ์  แม่พันธุ์  ที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้นมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาสุนัขบางแก้ว  รวมถึงการให้ความรู้ในการเลี้ยงการให้ยากับผู้เลี้ยง จากหน่วยงานของรัฐ  ทำให้สุนัขบางแก้วมีอัตราการรอดมากยิ่งขึ้น    ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ  อย่างของสุนัขบางแก้วที่มีความโดดเด่นต่อผู้ที่พบเห็น  รวบถึงผู้ที่เลี้ยงไว้  ทำให้สุนัขบางแก้วกายเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบเลี้ยงสุนัขทั่วไป  ด้วยความจงรักภักดี  ซื่อสัตย์  รักเจ้าของ  เฝ้าระวังภัยให้กับบ้านเรือนอย่างไว้ใจได้เป็นอย่างดี

สุนัขไทยบางแก้ว  มีจุดกำเนิดอยู่ที่ วัดบางแก้ว  บ้านบางแก้ว  ต.ท่านางงาม  อ.บางระกำ  จ.พิษณุโลก  ในช่วงสมัยหลวงปู่มาก  เป็นเจ้าอาวาสรุ่นที่ 3  ของวัดบางแก้ว  ท่านเป็นผู้มีความเมตตาต่อสัตย์  และเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นจำนวนมากมายหลายชนิด  ทั้งสัตว์บ้านและสัตว์ป่า  รวมทั้งสุนัขด้วย  ซึ่งสุนัขที่ท่านเลี้ยงนั้นไม่มีการกล่าวกันมาว่าเป็นสุนัขสายพันธุ์ใดอย่างชัดเจน  แต่ตามเรื่องเล่าสืบต่อกันมานั้นท่านมีสุนัขสีดำขนยาวเพศเมียตัวหนึ่ง  เมื่อเป็นสัดในฤดูผสมพันธุ์ได้เข้าไปในแนวป่ามีการสันนิฐานว่าไปผสมกับหมาป่า  เนื่องด้วยบริเวณวัดบางแก้วในสมัยนั้นมีลักษณะรอบ ๆ  เป็นป่า มีสัตว์ป่าอาศัยค่อยข้างชุกชุม    จนกระทั้งสุนัขตัว  นั้นได้คลอดลูกออกมา  ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากสุนัขอื่นๆ  ที่มีอยู่ในวัดทั่วไป  คือมีขนยาวฟู  คล้ายสุนัขต่างประเทศ  มีลักษณะสวยงาม  โดดเด่นน่าเลี้ยง  และมีความดุ  จากนั้นสุนัขแบบนี้ก็มีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ในวัดบางแก้ว  จนประชาชนที่ไปวัด  นั้นเห็นถึงความสวยงาม  ฉลาด  หวงของ  และดุ  มีความซื่อสัตย์ และภักดีต่อผู้เป็นเจ้าของ  จึงขอสุนัขจากท่านหลวงปู่มากมาเลี้ยง   เพื่อใช้ในการเฝ้าบ้าน  เฝ้าแพ  หรือแม้กระทั้งเฝ้าท้องไร่      ท้องนา  เพราะความหวงของและซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนาย
          
     สุนัขชนิดนี้จึงแพร่ขยายออกไปทั่วหมู่บ้าน  และด้วยเหตุปัจจัยที่หมู่บ้านบางแก้วนั้นมีภูมิประเทศเป็นเกาะในช่วงฤดูน้ำหลากโดยมีแม่น้ำล้อมรอบ  และประจวบกับในช่วงดังกล่าวก็เป็นช่วงที่สุนัขนั้นเป็นสัดพอดี  สุนัขนั้นไปสามารถออกไปผสมกับสุนัขในถิ่นอื่นได้  จึงเกิดการผสมพันธุ์กันเองภายในเครือญาติเดียวกันหลายต่อหลายช่วงอายุ  จนเกิดเป็นสุนัขที่มีลักษณะที่มีลักษณะเฉพาะ  มีลักษณะต่างๆชัดเจนแตกต่างจากสุนัข พื้นบ้านโดยทั่วไป 
              
จากนั้นเมื่อมีผู้เข้าไปพบเห็น  เกิดการชื่นชอบจึงนำออกมาเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในเมืองพิษณุโลก  และเรียกสุนัขดังกล่าวว่า “สุนัขบางแก้ว” ตามถิ่นกำเนิดของสุนัขนั้น    เมื่อเกิดความนิยมของคนเลี้ยงทั่วไปในเมืองพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง    จึงมีการรวมกลุ่มกันขึ้นของผู้ที่เลี้ยงสุนัขบางแก้ว  ผู้ที่ชื่นชอบ  และหน่วยงานของรัฐ  เพื่อจะพัฒนาสุนัขบางแก้วให้มีมาตรฐาน  จากนั้นราวปี พ.ศ. 2500  จึงมีการกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ของสุนัขบางแก้วขึ้นมาเป็นครั้งแรก  และมีการคัดเลือกพ่อพันธุ์  แม่พันธุ์  ที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้นมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาสุนัขบางแก้ว  รวมถึงการให้ความรู้ในการเลี้ยงการให้ยากับผู้เลี้ยง จากหน่วยงานของรัฐ  ทำให้สุนัขบางแก้วมีอัตราการรอดมากยิ่งขึ้น    ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ  อย่างของสุนัขบางแก้วที่มีความโดดเด่นต่อผู้ที่พบเห็น  รวบถึงผู้ที่เลี้ยงไว้  ทำให้สุนัขบางแก้วกายเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบเลี้ยงสุนัขทั่วไป  ด้วยความจงรักภักดี  ซื่อสัตย์  รักเจ้าของ  เฝ้าระวังภัยให้กับบ้านเรือนอย่างไว้ใจได้เป็นอย่างดี



วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

อมเริกัน พิทบูล เทอร์เรีย (American Pitbull Terrier)

อเมริกัน พิทบูลเทอร์เรีย(American Pit Bull Terrier)
มาตรฐานสายพันธุ์อย่างเป็นทางการในแบบฉบับของยูเคซี (Official U.K.C. Breed Standard)
ฉบับปรับปรุงใหม่ 1 ตุลาคม 2543 (Revised October1, 2000)
 ประวัติของสุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูล
         ในช่วงศตวรรษที่19 ผู้ที่นิยมสุนัขในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ และสก๊อตแลนด์ ได้เริ่มที่จะผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างบูลด๊อกตัวที่เหนียวที่สุดกับ สุนัขเทอร์เรียตัวที่กล้าหาญ ที่สุด และดีที่สุดเข้าด้วยกัน ผลจากการผสมข้ามสายนี้ในไม่ช้าก็รู้กันว่าพวกมันคือ สุนัข บูล แอนด์ เทอร์เรีย(Bull-and-Terrier) หรือพวกมันก็คืออเมริกันพิทบูลนั่นเอง เพื่อต้องการที่ จะได้สุนัขที่มีลักษณะของการล่าเหยื่อ(เกมส์)ของสุนัขพันธุ์เทอร์เรีย กับ ความแข็งแกร่ง และความปราดเปรียวที่เหมือนกับสุนัขพันธุ์บูลด๊อก ผลที่ออกมานั้นก็คือสุนัขที่ประกอบไป ด้วยความเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ แข็งแรง ทรหด อดทน และอ่อนโยนกับคนที่มันรัก ผลของ การอพยพปรากฏว่ามีคนได้นำสุนัข บูล แอนด์ เทอร์เรีย นี้ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้คนที่เป็นเกษตรกรและเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ได้มองเห็นความสามารถ ของสุนัขพันธุ์ อเมริกันพิทบูลและได้ใช้มันในการปกป้องทรัพย์สิน
เป็นสุนัขที่ใช้สำหรับการไล่ล่า ต้อนฝูง ปศุสัตว์(วัว หมู) รวมทั้งเลี้ยงเอาไว้เป็นเพื่อนสมาชิกในครอบครัว ปัจจุบันนี้สุนัขพันธุ์อเมริกัน พิทบูลแสดงความสามารถได้ในหลากหลายด้านด้วยกัน อย่างเช่นการฝึกให้ เชื่อฟังคำสั่ง ความสามารถในการสะกดรอย การแข่งขันเรื่องของความเร็ว (Agility) เป็นสุนัขอารักขา ความเฉลียวฉลาดในการทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับสายพันธุ์นี้โดยเฉพาะเช่น การลากน้ำหนัก
         ยูไนเต็ด เคนนัล คลับ (ยูเคซี) เป็นผู้ขึ้นทะเบียนสุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูลเป็นรายแรก โดยที่ ซี แซท เบ็นเน็ทท์เป็น ผู้ก่อตั้งยูไนเต็ด เคนนัล คลับ(ยูเคซี) เขาได้มอบหมายให้ ยูเคซี เป็นผู้ที่จดทะเบียนเป็นรายแรกโดยการนำพิทบูลของตนเองมากำหนดเป็นมาตรฐาน ภายใต้ชื่อ เบ็นเน็ทท์ ริง ในปี 1898
 รูปร่างลักษณะทั่วไป(General Appearance)
         สุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูล มีขนาดรูปร่างปานกลาง มีสัดส่วนที่พอดี ขนสั้นเรียบ เป็นมันเงางามและมีกล้ามเนื้อที่เด่นชัดมาก สุนัขสายพันธุ์นี้เต็มไปด้วยพละกำลังและมีความปราดเปรียวเป็นอย่างมาก และมีรูปร่างที่ค่อนข้างยาวกว่าส่วนสูง แต่ตัวเมียอาจมีรูปร่างที่ยาวกว่าตัวผู้ ความยาวของขาหน้า(วัดจากข้อศอกถึงพื้น) ประมาณครึ่งหนึ่งของความสูงของสุนัขทั่วไป หัวมีความยาวปานกลาง กว้าง ส่วนกะโหลกนั้นจะแบนเรียบและค่อนข้างจะกว้าง ประกอบด้วยขากรรไกรที่แข็งแรงและกว้างใหญ่ หูจะมีขนาดที่เล็กจนถึงปานกลาง หูตั้ง และบางทีก็อาจจะมีลักษณะที่เป็นธรรมชาติ(ไม่ได้ตัดหู) หรืออาจจะตัดหูหรือไม่ตัดหูก็ได้ หางสั้นชี้ลง โคนหางใหญ่ และเรียวเล็กลงไปถึงปลายหาง อเมริกันพิทบูลมีทุกสี และมีทุกลาย สุนัขพันธุ์นี้จะต้องปรากฏให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง กระฉับกระเฉง สง่างามและไม่ควรที่จะเทอะทะมากไปจนกล้ามเนื้อทั้งหลายขัดขวางต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ความสมดุลนั้นควรจะมีสัดส่วนที่เหมาะสมต่อกันและกัน สุนัขพันธุ์นี้ไม่ควรที่จะผอมจนเห็นกระดูก
 บุคลิกลักษณะ (Characteristics)
         ลักษณะเฉพาะของสุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูลก็คือ ความแข็งแกร่ง มีความเชื่อมั่นในตัวของมันเอง และมีชีวิตที่กระหายใคร่รู้ต่อทุกสิ่งที่อยู่รอบๆตัวมัน สุนัขพันธุ์นี้ชอบให้คนดูแลเอาใจใส่ และมีความกระตือรือร้นมาก สุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูลเป็นเพื่อนกับทุกคนที่อยู่ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี และมีความรักเด็ก เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้ ส่วนใหญ่มักจะแสดงความก้าวร้าวกับสุนัขทั่วไป และด้วยความแข็งแรงที่แสดงให้เห็นถึงการมีพละกำลังในรูปร่างของพวกมัน ดังนั้นสุนัขสายพันธุ์นี้จึงต้องการเจ้าของที่สามารถอบรมหรือฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งได้ ธรรมชาติของสุนัขพันธุ์นี้มีความปราดเปรียว กระฉับกระเฉงโดยธรรมชาติ ความว่องไวของสุนัขพันธุ์นี้ทำให้พวกมันเป็นหนึ่งในสุนัขที่มีความสามารถในการปีนข้ามรั้ว อเมริกันพิทบูลไม่เหมาะที่จะเลือกไว้เป็นสุนัขอารักขา(Guard dog) เนื่องจากพวกมันค่อนข้างมีอัธยาศัยที่ดีกับคนแปลกหน้า นิสัยดุดันกับคนไม่ใช่บุคลิกลักษณะของพวกมัน สุนัขพันธุ์นี้มีความสามารถในหลากหลายด้าน เพราะมีความฉลาดมากเป็นพิเศษ รวมทั้งความกระตือรือร้นในการที่จะทำงาน สุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูลมีความสามารถในการทำสิ่งต่างๆได้เป็นอย่างดี หากแต่ว่าข้อบกพร่องของสุนัขสายพันธุ์นี้ ได้ตัดคะแนนความนิยมและความสามารถของมัน
 หัว (Head)
         หัวของสุนัขอเมริกันพิทบูลนับได้ว่ามีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น หัวของอเมริกันพิทบูลจะต้องมีกะโหลกใหญ่ และกว้าง ซึ่งให้ความรู้สึกได้ถึงความมีพละกำลังที่แข็งแรง แต่ว่าหัวของสุนัขพันธุ์นี้ไม่ได้สัดส่วนกับขนาดรูปร่างของมัน เมื่อมองดูจากด้านหน้า หัวของอเมริกันพิทบูลจะมีลักษณะคล้ายลิ่ม กว้าง ทู่ แต่เมื่อมองดูจากด้านข้าง กะโหลกและปากของมันจะขนานกัน และมีตำแหน่งจรดกันที่จุดลึกปานกลาง มีส่วนเว้าบนขอบเบ้าตา(รอยเว้าแหว่งมีได้เฉพาะบริเวณข้างลูกตา) แต่ไม่เด่นมาก หัวมีส่วนประกอบที่ชัดเจน ผสมผสานกับความแข็งแกร่ง ได้อย่างสวยงามซึ่งเป็นบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว

 หัวกะโหลก (Skull)          กะโหลกที่ใหญ่ แบน หรือค่อนข้างกลม ลึก และกว้างระหว่างตา เมื่อมองจากข้างบน กะโหลกจะเรียวไปด้านหน้า กล้ามเนื้อที่แก้มเห็นได้อย่างเด่นชัด แต่จะต้องไม่มีรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก เมื่อใดที่สุนัขพันธุ์นี้อยู่ในระหว่างใจจดใจจ่อ(ตั้งใจ) รอยย่นจะปรากฏขึ้นบนหน้าผากได้ ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่น่าสนใจของสุนัขสายพันธุ์นี้
 ปาก (Muzzle)
         
ปากกว้างและลึก โดยมีความเรียวเล็กน้อยที่ปลายจมูก และลาดลงเล็กน้อยใต้ตา ความยาวของปากสั้นกว่าความยาวของกะโหลก ในอัตราส่วนประมาณ2:3ที่ซึ่งขนานกัน เส้นบนของปากเป็นเส้นตรง ส่วนกรามล่างนั้นจะกว้างและลึก ริมฝีปากสะอาดและตึง
         ข้อบกพร่อง (Faults) ปากแหลมเหมือนปากนก ปากเล็ก และกรามล่างไม่แข็งแรง
 ฟัน (Teeth)
         อเมริกันพิทบูลมีฟันที่สมบูรณ์ในช่วงระยะห่างที่เท่ากัน ฟันขาวที่สบกันแบบกรรไกร
         ข้อบกพร่อง(Faults): ฟันบนและล่างไม่สบกันแบบกรรไกรกัน
         ข้อบกพร่องที่ร้ายแรง(Serious Faults): ฟันล่างยื่นล้ำฟันบนออกมาหรือฟันบนยื่นล้ำฟันล่างออกมามากเกินไป (Undershot or Overshot) ปากเบี้ยว ฟันขาด (ไม่ครบชุด)
 จมูก (Nose)
         จมูกใหญ่และมีรูจมูกที่กว้าง อาจมีจมูกได้หลายสี
 ตา (Eyes)
         ตามีขนาดปานกลาง มีชีวิตชีวา กลมเหมือนถั่วอัลมอนด์ ตาอยู่ในตำแหน่งดี ต่ำกว่ากะโหลก ตาทุกสียอมรับได้ ยกเว้นตาสีฟ้า ที่ซึ่งถือว่าเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรง และไม่ควรมองเห็นเยื่อของเปลือกตาที่ปลิ้นออกมา
         ข้อบกพร่อง: ตาสีฟ้า
         ข้อบกพร่องที่ร้ายแรง: ตาโปน ตาทั้งสองข้างคนละสี ตาสีฟ้า
 หู (Ears)
         ใบหูที่ระวังระไวและมีชีวิตชีวานั้นจะตั้งสูง อาจจะตัดหูหรือไม่ตัดหูก็ได้แล้วแต่ความชื่นชอบของแต่ละบุคคล ถ้าหูเป็นแบบธรรมชาติที่ซึ่งไม่ได้ตัดหูนั้น อาจจะพับครึ่งลงมาหรืออาจจะตั้งตรง หรือแบนเรียบ สำหรับหูที่กว้างเกินไปไม่เป็นที่ต้องการ
 คอ (Neck)
         คอมีความยาวปานกลาง แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เป็นเส้นโค้งพอเหมาะบรรจบกับหลัง คอค่อยๆกว้างออกจากจุดเชื่อมกะโหลกไปถึงไหล่ มีขนคอที่แน่นตึง ไม่มีเหนียง
         ข้อบกพร่อง: คอสั้นมากและหนา คอเล็กหรือไม่แข็งแรง คอคล้ายกับแกะตัวเมีย มีเหนียง
 ส่วนหน้า (Forequarters)
         กระดูกหัวไหล่ยาว กว้าง ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ และอยู่ค่อนไปทางข้างหลัง กระดูกหัวไหล่นี้จะมีความยาวเกือบเท่ากับความยาวของกระดูกขาท่อนบน และกระดูกจะต้องอยู่ในมุมได้อย่างถูกต้อง ขาหน้าแข็งแรง และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ข้อศอกอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับลำตัว เมื่อมองจากด้านหน้า ตำแหน่งของขาหน้าจะกว้างออกได้อย่างชัดเจน และตั้งฉากกับพื้นดิน กระดูกที่ติดกับกระดูกขาท่อนล่างของขาหน้านั้นจะสั้น แข็งแรง ตั้งตรง และมีความยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี เมื่อมองจากด้านข้าง กระดูกที่ติดกับกระดูกขาท่อนล่างของขาหน้านี้เกือบจะตั้งตรง
         ข้อบกพร่อง: มีไหล่สูงหรือตั้งเกินไป ข้อศอกบิดงออย่างชัดเจน หรือติดกันจนเกินไป ขาในส่วนที่ต่อจากกระดูกขาท่อนล่างของขาหน้าจะอยู่ในระดับต่ำเกินไป ข้อเท้าสูง นิ้วเท้าหลบใน หรือโผล่ออกมามากเกินไป
 ลำตัว (Body)
         ลำตัวใหญ่ กว้าง และมีลักษณะกลมและลึกลงมาตลอดลำตัวจนถึงบริเวณอก เพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับหัวใจและปอด แต่ความกว้างของช่วงอกควรมีสัดส่วนที่พอดีกับความลึก คือความกว้างไม่มากกว่าความลึก ช่วงอกหน้าไม่ควรขยายมากเกินกว่าหัวไหล่ซี่โครงแผ่ขยายจากกระดูกสันหลัง และไปเชื่อมกับข้อศอก ประกอบกันเป็นรูปร่างลำตัวที่ดูลึก ส่วนบนโค้งลงเล็กน้อยจากตะโพก ถึงหลัง ช่วงท้องสั้น โค้งเล็กน้อยไปถึงส่วนบนของตะโพก ตะโพกลาดลงเล็กน้อย
 ช่วงหลัง (Hindquarters)
         ช่วงหลังแข็งแรง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ และมีความกว้างอย่างเหมาะสมตะโพกมีสัดส่วนดีระหว่างทั้งสองด้าน และลึกจากกระดูกเชิงกรานถึงจุดอวัยวะเพศ กระดูก และ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงหลังสมดุลกับช่วงหน้า ขาท่อนบนหนาได้รูป เห็นกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน เมื่อมองจากด้านข้างข้อเท้ามีส่วนโค้งที่ได้สัดส่วน และอุ้งเท้าหลังอยู่ในตำแหน่งดี และตั้งฉากกับพื้น เมื่อมองจากด้านหลัง อุ้งเท้าหลังตรงเป็นรูปขนาน
         ข้อบกพร่อง: ช่วงหลังแคบและสั้น จากกระดูกเชิงกรานถึงอวัยวะเพศไม่มีกล้ามเนื้อ ข้อต่อตรงหรือเป็นเหลี่ยมมุมมากเกินไป ข้อเท้าเหมือนข้อเท้าวัว ขางอ
 เท้า (Feet)
         เท้ากลม มีสัดส่วนเหมือนสุนัขทั่วไป นิ้วเท้าโค้งคุ้มได้ขนาด อุ้งเท้าแข็งแรง และรองรับกันดี นิ้วเล็บส่วนเกิน(นิ้วติ่งหรือนิ้วหัวแม่มือ) อาจจะถูกกำจัดออกไปก็ได้
         ข้อบกพร่อง: เท้าแบะ
 หาง (Tail)
         หางอยู่ในตำแหน่งที่ต่อมาจากส่วนบน และเรียวลงล่าง เมื่อสุนัขอยู่ในอารมณ์ที่เป็นปกติ หางจะชี้ลงอยู่ในตำแหน่งระดับข้อเท้า เมื่อสุนัขเคลื่อนไหว หางจะอยู่ในระดับเส้นหลัง เมื่อสุนัขอยู่ในอาการตื่นเต้น หางจะยกขึ้น แต่ไม่ม้วนมากจนถึงหลัง
         ข้อบกพร่อง: หางยาวกว่าระดับข้อเท้า
         ข้อบกพร่องที่ร้ายแรง: หางม้วน หางงอ
         ข้อห้ามที่ทำให้หมดสิทธิ์: หางพุ่ม
 ขน (Coat) 
          ขนมีลักษณะเป็นเส้นตรง สั้น เรียบติดตัว เป็นเงางาม เรียบ ละเอียด และการจัดวางของเส้นขนจะหยาบเพียงพอสำหรับที่จะป้องกันผิวหนังได้
         ข้อบกพร่อง: ขนงอหยิก ม้วนเป็นคลื่น ขนบางไม่หนา
         ข้อบกพร่องที่ร้ายแรง: ขนยาว
 สี (Color)
          สุนัขพันธุ์นี้จะออกมาในหลากหลายสีสัน จากสีครีมไปจนถึงสีดำ รวมทั้งเฉดสีน้ำตาลแกมเหลืองและสีแดง ลายเสือรูปแบบของลายซึ่งเราอาจจะเห็นในหลายๆเฉดสี ก็ยังเป็นที่น่าจับตาเป็นพิเศษ แต่ละสียังมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย
 ความสูงและน้ำหนัก (Height and Weight)
          อเมริกันพิทบูลควรมีความแข็งแรงและความว่องไว ดังนั้นน้ำหนักและส่วนสูงไม่ค่อยจะมีความสำคัญซักเท่าไหร่ สัดส่วนที่พอดีของน้ำหนักและส่วนสูงนั้น น้ำหนักสำหรับสุนัขตัวผู้(ที่โตเต็มที่แล้ว) อยู่ระหว่าง35-60ปอนด์ น้ำหนักสำหรับตัวเมีย (ที่โตเต็มที่แล้ว) จะอยู่ระหว่าง30-50ปอนด์ หากสุนัขที่มีน้ำหนักไม่อยู่ในเกณฑ์นี้ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าจะต้องไม่ผอมจนเกินไป หรือมีสัดส่วนน้ำหนักและส่วนสูงที่มากเกินไป
 ท่าทางการเดินและการวิ่ง (Gait)
          อเมริกันพิทบูลเคลื่อนไหวด้วยความว่องไว มั่นใจ แสดงให้เห็นถึงความคาดหวังที่จะพบกับสิ่งใหม่ๆและน่าตื่นเต้น เวลาเดินเหยาะๆ ท่าเดินจะเรียบและมั่นคง เมื่อเคลื่อนไหว เส้นหลังคงระดับความโค้งเล็กน้อย แสดงถึงความอ่อนโยน เมื่อมองจากทุกด้าน ขามีการประสานกันเป็นอย่างดี เมื่อเร่งความเร็วขึ้น ขาจะเบนเข้าหากันที่จุดศูนย์กลางอย่างสมบูรณ์
          ข้อบกพร่อง: ขาเคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กัน ย่างก้าวของขามากเกินไป ขาพันกันไปมา ขาหลังเคลื่อนไหวใกล้หรือเกือบเตะขาหน้า การวิ่งหรือเดินที่เอียงข้าง
 ข้อห้ามในการตัดสิน (Disqualifications) โมโหร้าย หรือมีความขี้อายมาก หูหนวกข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง หางพู่ สุนัขเผือก
ข้อสังเกต แม้ว่าความก้าวร้าวเป็นลักษณะหนึ่งของสายพันธุ์นี้ ผู้เลี้ยงควรทำตามนโยบาย/คำแนะนำของยูเคซี เนื่องจากยูเคซีมีประสบการณ์ถึงความขี้โมโหของสุนัขสายพันธุ์นี้เป็นอย่างดี

ที่มา: http://www.ipitbulldog.com 


สุขนัขยอดนิยม

บทความสุนัขยอดนิยม